รายงานในตลาดแรงงาน ที่นำเสนอออกมาในวันศุกร์ ได้มาอยู่ในระดับตามที่ประเมินไว้ ในทางหนึ่งมันได้แสดงให้เห็นถึง การเติบโตของเศรษฐกิจ ในอีกทางหนึ่งมันได้ช่วยลดความกังวลของการเพิ่มขึ้นของอัตราสี่ครั้งในปีนี้
จำนวนของการจ้างงานใหม่ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ประเมินไว้ ในเดือนกุมภาพันธ์ มีการปรับตัวขึ้นมาถึง 313, 000 คน และในเดือนมกราคม พบว่าข้อมูลมีการปรับตัวขึ้นมาจาก 200, 000 คน จนถึง239, 000คน ส่วนอัตราการว่างงานได้ปรับตัวขึ้นมาใน 4.1% ตามที่ระบุไว้ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ดี
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตัวบ่งชี้อีกส่วนที่ชื่อว่า การเติบโตของค่าจ้าง ออกมาค่อนข้างไม่ค่อยดีนัก โดยการเติบโตอยู่ใน 0.1% เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ที่ประเมินไว้ใน 0.2% ตามพื้นฐานรายปีจะพบว่า การเติบโตได้ลดลงไปจาก 2.8% เป็น 2.6% ซึ่งหมายความว่า เงินเฟ้ออยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก
ยอด GDP ในตอนนี้ได้อยู่ตามแผนผัง หลังจากที่มีการนำเสนอข้อมูลการจ้างงานที่แสดงให้ทราบถึง การเติบโตของยอด GDP ในไตรมาสแรกใน 2.5% ซึ่งเป็นการลดระดับลงมาของการคาดการณ์
การเติบโตของค่าจ้างในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะว่าทางธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา มาจากการคาดการณ์ต่อการพึ่งพาโดยตรงต่อการเติบโตของค่าจ้างและเงินเฟ้อ สำหรับการเติบโตด้านรายรับ ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ได้ลดระดับอุปสงค์ลงไป ซึ่งทำให้เกิดการลดระดับของการคาดการณ์
แม้ว่า ในช่วงตอนท้ายเซสชั่นการซื้อขาย ดัชนีหุ้นสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงการเติบโต โดยเหตุผลเบื้องหลังการปรับตัวเช่นนี้มาจาก อัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำได้ช่วยลดระดับ แนวโน้มการปรับอัตราถึงสี่ครั้งในปีนี้ โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง จากทางสถาบัน CME ได้ออกมาแสดงแนวโน้มต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมที่อาจจะน้อยกว่า 30%
จากคำแถลงการณ์ของคณะกรรมการผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน (FOMC) จาก คุณ Rosengren ที่ได้ระบุว่า "ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดนั้นค่อนข้างดี" และ ทางธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาเองก็อาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยมากกว่าสามครั้งภายในปีนี้
ราคาสินค้ามีการปรับตัวขึ้นมาพร้อมๆกันกับ ดัชนีหุ้น โดยเงินดอลลาร์ได้มีการขาดทนลงมา เมื่อเทียบกับเงินเยน และเมื่อเทียบกับ สกุลเงินสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์ ในทางตรงกนัข้ามกลับมีการปรับตัวลงมาอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึง การเพิ่มขึ้นของความกระตือรือร้นของตลาด
ดังนั้นแล้ว การเติบโตของค่าจ้างที่น้อยกลายเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในสายตาของนักลงทุนหลายคน ที่มากกว่าภัยที่มาจากสงครามสกุลเงิน ในวันพฤหัสบดี พบว่า ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ออกมาลงนามในข้อกฎหมายในการนำเสนอภาษีสำหรับเหล็กและอลูมิเนียมใน 25% และ 10% ตามลำดับ ส่วนการจ่ายภาษีนั้นจะถูกละเว้นออกจากประเทศเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นคู่ค้าใน NAFTA
จากที่มีการทราบกันถึงภัยที่กำลังเกิดขึ้นและการตอบโต้ จากสหภาพยุโรปและประเทศจีนที่จะดำเนินการตามมาภายหลัง แต่นาย Trump ก็มีความมั่นใจถึงความสามารถของเขา "หากคุณไม่ต้องการจ่ายภาษี ก็ให้มาสร้างแหล่งผลิตในสหรัฐอเมริกา" นั้นเป็นสิ่งที่เขาได้ให้ความเห็นออกมาที่ก่อให้เกิดความไม่พอใจที่เกิดขึ้นมา
แม้ว่านาย Trump จะมีมุมมองแบบนักธุรกิจมากกว่าความเป็นประธานาธิบดี สำหรับการเพิ่มระดับภาษีที่จะช่วยส่งเสริมสถานะของเขาในการเจรจาต่อ NAFTA และที่จะช่วยให้เกิดการตรวจสอบความสัมพันธ์ทางการค้ากับคู่ค้าคนอื่นๆ
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปฏิกริยาของคู่ค้าก็ยังคงเป็นแง่ลบอยู่ โดยทางประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศส คุณ Emmanuel Macron ที่ได้มีการเจรจาผ่านทางโทรศัพท์กับคุณ Trump ได้กล่าวว่า ทุกคนได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดตรงนี้ และมันอาจจะกระตุ้นต่อการเกิดสงครามทางการค้า วันก่อนหน้าที่ทางประธานธนาคารกลางแห่งยุโรป คุณ Mario Draghi ได้ออกมา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า มันมีความจำเป็นในการเดินหน้ากับการเจรจาในประเด็นที่ยังไม่ลงตัว และการตัดสินใจแบบฝ่ายเดียวนั้นค่อนข้างอันตราย และหากทางสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นใช้ข้อกำหนดทางการค้าต่อคู่ค้าอื่นๆ ก็อาจมีการสร้างศัตรูมาได้
ดูเหมือนว่าในวันจันทร์ จะมีการรายงานข้อมูลครั้งแรกต่อ มาตรการตอบสนองที่เป็นไปได้ โดยทางตลาดจะออกมารับมือ เพราะว่ามี แนวโน้มของการเพิ่มขึ้นถึงสี่ครั้งของอัตราดอกเบี้ยในธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา และการหันกลับมาพูดถึงประเด็นของภาษีและข้อกำหนด
ในวันอังคาร จะมีการนำเสนอข้อมูลเงินเฟ้อของผู้บริโภคของเดือนพฤษภาคม มีแนวโน้มเชิงลบออกมา เนื่องจากการเติบโตใน 0.2% ตามที่คาดการณ์เมื่อเทียบกับ เดือนมกราคมใน 0.5% สำหรับการปรับฐานไม่ว่าจะส่วนไหนก็อาจจะช่วยสร้างความผันผวนให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการประเมินความเสี่ยง ในวันพุธ คุณต้องจับตามองการรายงานด้านการค้าปลีกและราคาผู้ผลิต
เงินดอลลาร์ได้มีการบรรลุไปในรอบสัปดาห์ โดยในวันจันทร์ ดัชนีเงินดอลลาร์อาจจะมีการปรับตัวขึ้นมาเมื่อเทียบกับเงินเยน, ยูโร และฟรังก์ โดยที่สกุลเงินสำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์ก็ดูเหมือนว่า อาจจะยังไม่มีการปรับตัวขึ้นมาเกิดขึ้น