เงินดอลลาร์สหรัฐก็ยังคงอ่อนค่าลงมา เมื่อเทียบกับสกุลเงินในประเทศจี7 และเมื่อนำมาเทียบกับการรายงานตัวบ่งชี้เศรษฐกิจมหภาคที่ทรงตัวดี
การรายงานด้าน ยอดการค้าปลีกของเดือนมีนาคม ได้ตรงตามการคาดการณ์ โดยที่มีการปรับตัวขึ้นมาที่แสดงให้เห็นถึงระดับของอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ทรงตัวขึ้นมา สำหรับการปรับตัวของภาคการก่อสร้างเองก็อยู่ในแนวโน้มที่ดี ซึ่งมีการเติบโตด้านการผลิตทางอุตสาหกรรมอยู่ที่ 0.5% ที่มากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ นอกจากนั้นอัตรากำลังการผลิตเองก็ยังอยู่ในระดับสูงในรอบถึงสองปี
หลายคนอาจจะได้เยาะเย้ยนาย Trump ไว้จากพฤติกรรมของเขาที่เห็นได้ชัดจากการหาเสียง แต่ความเป็นจริงนั้นกลับแสดงผลอันตรงกันข้าม ในวันจันทร์ กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาออกมารายงานถึง การเคลื่อนไหวของการซื้อสินทรัพย์จากนักลงทุนต่างชาติ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยแนวโน้มจะสามารถเห็นได้ชัดว่า หลังจากมีการเคลื่อนตัวไปในระดับต่ำสุดในรอบเดือนกรกฎาคมปี 2017 และในช่วงเดือนพฤศจิกายน ก็พบว่าอุปสงค์ของสินทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาก็ยังมีการปรับตัวขึ้นมา และการเติบโตนี้ก็เกิดขึ้น หลังจากการเลือกตั้งของนาย Trump ในการเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
ในเดือนกุมภาพันธ์พบว่า มีการปรับตัวลงมาของอุปสงค์ในส่วนของหุ้น ซึ่งทำให้เกิดการลดระดับลงมาของตลาดหุ้นในช่วงต้นของเดือน แต่อุปสงค์ในพันธบัตรรัฐบาลเองก็ยังเพิ่มขึ้นตามลำดับ ระหว่างที่ยังมีการไหลเวียนเข้ามาของแหล่งทุนมากสุดในรอบเกือบ 5 ปี
ปัจจัยสำคัญทั้งสองอย่าง ที่ได้ส่งผลต่อการปรับตัวของมูลค่าใน อัตราแลกเปลี่ยนของเงินดอลลาร์ให้เพิ่มขึ้นมา จะพบได้ว่าปัจจัยทั้งสองจะประกอบไปด้วย นโยบายของทางธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการให้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น และการลดงบดุล โดยมันจะไม่สามารถส่งผลให้เกิดอย่างอื่นตามมาได้ ยกเว้นแต่การเพิ่มขึ้นของ มูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จากการแข็งค่าของเครดิต และการลดลงมาของการผลิต ในตอนนี้ยังไม่มีสามารถกล่าวได้ว่า ทางเฟดได้ทำการควบคุมงบดุลอย่างต่อเนื่องรึเปล่า ถ้างบดุลในเดือนตุลาคม ปี 2017 ยังอยู่ที่ 4.47ล้านล้านเหรียญ และจากนั้นในช่วงวันที่ 11 เดือนเมษายน ก็ได้อยู่ที่ 4.38 ล้านล้านเหรียญ พบว่าลดลงไป 90พันล้านเหรียญ แต่มันก็ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก เพราะว่าแนวโน้มก็ยังปรับตัวขึ้นมา และการลดงบดุลลงก็จำเป็นจะต้องดำเนินการ
ดังนั้นแล้ว มีอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นต่อสินทรัพย์สหรัฐอเมริกา ระหว่างที่เงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มมีมูลค่ามากขึ้น รวมทั้งสินทรัพย์ที่ทำกำไรได้มากขึ้นโดยสวนทางกับ แนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมา สำหรับปัจจัยเหล่านี้จะช่วยส่งผลให้เกิดการปรับตัวขึ้นมาของดัชนีเงินดอลลร์ ในทางปฏิบัติแล้ว พวกเราก็ได้จับตาดูเหตุการณ์ในทางตรงกันข้ามว่า การค้าอาจจะส่งผลต่อเงินดอลลาร์ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนก็มีการขยับตัวไปในระดับสูงของรอบ 14 ปี ในเดือนธันวาคมปี 2016 หลังจากที่ได้เริ่มต้นด้วยการปรับตัวลงมา และแน่นอนหลังจากที่นาย Trump ได้ถูกรับเลือกเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็น ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
ตามข้อเท็จจริงแล้วจะพบว่า สถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริงก็คือการฟื้นตัว ซึ่งจะก่อให้เกิดการ "ปรับสมดุล" ของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาอย่างประสบผลสำเร็จ ส่วนการปฏิรูปภาษีเองก็จะช่วยให้เกิดการลดระดับลงมาของรายได้งบประมาณ ตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ก็ยังมีอีกอย่างก็คือ การลดลงมาของรายรับที่แท้จริงของประชากร และ อาจจะก่อให้เกิดการลดระดับลงมาของอำนาจในการซื้อ ซึ่งภัยเหล่านี้มันส่งผลมากกว่าทุกอย่างรวมกัน เพราะว่า 80% ของภาษีนั้นมาจากประชากร
เพื่อป้องกันการปรับตัวลงมาของกิจกรรมการบริโภค มันจำเป็นต้องทำการเพิ่มระดับของรายรับ และไม่ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของราคาการนำเข้า ซึ่งฝ่ายบริหารของนาย Trump เองก็สามารถช่วยในส่วนนี้ได้อย่างสมบูรณ์
หรือกล่าวในอีกนับหนึ่ง เพื่อมีโอกาสในการใช้งานแผนการปฏิรูปภาษีอย่างประสบผลสำเร็จ และการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้น ฝ่ายบริหารของนาย Trump จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาอย่างมากมายให้ลดลงไป และไม่ได้แยกปัญหาออกจากกัน ซึ่งอย่างการที่เงินดอลลาร์อ่อนตัวลงมา ก็เป็นหนึ่งในความสำเร็จอย่างมาก นอกจากนั้นยังจำเป็นที่หนี้สาธารณะไม่ควรได้รับการเกื้อหนุนจาก ระบบธนาคารส่วนกลาง แต่ควรมาจากเงินทุนต่างประเทศ ตามที่พวกเราได้จับตามองเมื่อได้ทำการวิเคราะห์รายงานของกระทรวงการคลัง และมีความจำเป็นที่ การนำเข้าจะต้องไม่มีการเพิ่มขึ้นของราคา ดังนั้น แล้วประชากรก็ยังสามารถสนับสนุนต่ออุปสงค์การบริโภคได้ และพวกเราก็จะสามารถสังเกตได้ใน อัตราของเงินดอลลาร์สหรัฐต่อการค้า เพราะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ว่า สินทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาเป็นที่ต้องการ เมื่อเทียบกับหลักทรัพย์อื่นๆ และแน่นอนว่าทางเฟดเอง ก็ยังดำเนินการตามแผนการ ของการเพิ่มอัตราขึ้นมา โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ เพราะว่าพวกเขาเองก็ตั้งใจที่จะทำให้ระดับของหลักทรัพย์กลับขึ้นสู่ระดับเดิมอีกด้วย
การเติบโตของเงินเฟ้อยังอ่อนตัวอยู่ และมันอาจจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้ทราบว่า ทุกอย่างอาจจะไม่ราบรื่น หากใช้ตัวอย่างของ Brexit และการลดระดับลงมาของเงินปอนด์ พวกเราก็จะสามารถเห็นได้ว่ากระบวนการนี้อาจจะเกิดขึ้นมา โดยเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรอังกฤษ ได้เพิ่มขึ้นมา 3% เมื่อไปเทียบกับราคาการนำเข้าที่สูง ทางด้านสหรัฐอเมริกาเองก็พบว่า การเติบโตของเงินเฟ้อยังอ่อนอยู่อย่างมาก และแน่นอนก็จะส่งผลให้อำนาจการซื้อของประชากรยังคงลดระดับลงมา
โดยรวมแล้ว พวกเราสามารถทำการสรุปได้ว่า เจ้าหน้าที่ด้านการเงินของสหรัฐอเมริกา อาจจะยังยึดแนวทางการทำให้เงินดอลลาร์อ่อนตัว โดยแนวโน้มสามารถส่งผลได้ทุกอย่าง โดยประเด็นสำคัญก็คือ ต้องก้าวผ่านความท้าทายอย่างมากสำหรับการปฏิรูปที่อาจจะช่วยลดระดับมูลค่าเงินดอลลาร์ลงมา
เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงมาเมื่อเทียบกับสกุลเงินในยุโรป โดยหลักแล้ว หากเทียบกับเงินปอนด์ และยูโรนั้นเอง ระหว่างที่ เงินเยนกลับเป็นที่ต้องการสูง