เดือนกรกฎาคม เป็นเดือนที่สี่ติดต่อกันของการปิดตัวของทองคำในบริเวณพื้นที่สีแดง ส่วนโลหะมีค่าไม่ได้เผชิญหน้ากับจุดสูงสุดที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2013 ส่วนเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการรัดกุมทางการเงินที่มากขึ้นของทางเฟด ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของมาตรการกระตุ้นทางการเงิน ที่จะส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสถานะของ แนวโน้มขาขึ้นของคู่ออนซ์ทองคำและดอลลาร์สหรัฐ (XAU / USD) ส่วนตลาดฟิวเจอร์ส ก็มีความมั่นใจเกือบ 70% ว่าเงินสำรองของรัฐบาลกลางจะช่วยเพิ่มอัตราดอกเบี้ยถึงสองครั้ง ก่อนสิ้นปี ท่ามกลางการลดระดับลงของการว่างงานที่ลดลงไปถึง 4% และอัตราเงินเฟ้อกลับพุ่งขึ้นไปถึง 4.1% หากเทียบกับไตรมาสที่ผ่านๆมา ของ GDP ในไตรมาสที่สอง
การเคลื่อนไหวประจำไตรมาสของทองคำ
ในขณะที่นักลงทุนของประเทศญี่ปุ่น ยังคงรักษาระดับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่อายุต่ำกว่า 10 ปี ที่ต่ำกว่าระดับที่สำคัญทางจิตวิทยา 3% และยังมี การเติบโตของดัชนีหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่ไม่อนุญาตให้โลหะมีค่า ได้มีบทบาทในการเพิ่มความขัดแย้งทางการค้า สำหรับเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าอยู่นั้นก็ไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย แม้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลรอยเตอร์ที่น่าเชื่อถือ ยังระบุถึงความตั้งใจของนาย Donald Trump ในการประกาศถึง การเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับประเทศจีน โดยคิดเป็น 200 พันล้านเหรียญ ที่ได้รับการพิจารณาว่าสมเหตุสมผลในการขายคู่ออนซ์ทองคำและดอลลาร์สหรัฐ (XAU / USD) ในอนาคตอันใกล้นี้ ดังนั้นแล้ว เงินดอลลาร์สำหรับนักลงทุน น่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าทองคำไปแล้ว
อะไรคือสิ่งที่โลหะมีค่าสามารถตอบโจทย์ได้? อย่างแรก ปัจจัยตามฤดูกาล สามารถส่งผลได้ในส่วนนี้ ในเดือนสิงหาคม เป็นเดือนที่ดีที่สุดเดือนที่สอง ของทองคำหลังจากเดือนมกราคม จนในช่วงเมื่อปลายเดือนสุดท้ายของฤดูร้อนปี 2017 นั้นเอง ที่มีการเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 4% และในปี 2016-2017 เงินสำรองของ ETF ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 4% อย่างที่สอง สถานะของการซื้อนั้น ได้ลดลงไปที่ระดับต่ำ นับตั้งแต่วันที่มีการรวมยอดบัญชีในปี 2006 โดยมันอาจจะต่ำกว่าช่วงสิ้นปี 2015 ที่ทางเฟด เริ่มต้นกระบวนการของการปรับนโยบายทางการเงินสู่สภาวะปกติ อย่างที่สาม ก็คือตลาดมีข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความสามารถของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ในการรักษาอัตราการเติบโตในไตรมาสที่สอง มันกลับไม่ได้สร้างความสงสัยให้กับนาย Donald Trump แต่ ตามหลักการแล้วกลับดูค่อนข้างเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม สิ่งที่ค่อยๆเลือนหายไปจากผลกระทบของการปฏิรูปภาษี การรัดกุมในนโยบายการเงินของเฟด, สงครามทางการค้า และการปรับค่าเงินดอลลาร์ในช่วงเดือนเมษายน - เดือน กรกฎาคม ที่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการชะลอตัวของ GDP ในไตรมาสที่สาม
มีอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ คู่แข่งหลักของเงินดอลลาร์ ในการเผชิญหน้ากับสกุลเงินยูโร ในยุโรปที่ยังค่อยเด่นชัดมากนัก ในช่วงเดือนเมษายน จนถึงเดือนมิถุนายน พบว่ามีความแตกต่างในการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และยูโรโซน ที่ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ค่อนข้างกระจายออกเป็นวงกว้างมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เราสามารถพิจารณาถึงการยกเลิกของการใช้ นโยบายทางการเงินแบบพิเศษของธนาคารกลางแห่งยุโรป และเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับคู่สกุลเงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐ (EUR/USD) ในการปรับตัวขึ้น
ในระยะสั้นนี้ ทองคำมีแนวโน้มที่จะมี ปฏิกริยาที่ว่องไวต่อผลของการประชุมของคณะกรรมและการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตลาดแรงงานในสหรัฐอเมริกา สำหรับแนวโน้มของการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ และการเติบโตของค่าจ้างที่ซบเซาลงไปของทางเฟด จะทำให้ราคาฟิวเจอร์สไปอยู่ที่ 1,250 เหรียญต่อออนซ์ ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากธนาคารกลางต้องการให้เกิดแนวดน้มแบบ "การรัดกุมทางเศรษฐกิจ" และข้อมูลสถิติเกี่ยวกับค่าแรง ก็จะทำให้เกิดความพอใจมากขึ้น สำหรับโลหะมีค่านั้นอาจจะเสี่ยงต่อการปรับตัวขึ้นไปในทิศทางของ $ 1200
ทางเทคนิคแล้ว จะพบได้ว่า ทองคำพยายามที่จะเคลื่อนตัวออกจากพื้นที่ convergence zone 1207-1222 ดอลลาร์ (เป้าหมาย 200% และ 88.6% ตามกราฟรูปแบบ AB = CD และ "แลาม") ถ้าหากแนวโน้มขาขึ้น สามารถเก็บรักษาราคาไว้เหนือกว่าการสนับสนุนที่สำคัญนั้นแล้วละก็ ความเสี่ยงของการย้อนกลับไปที่ 1,243 ดอลลาร์และ 1,272 ดอลลาร์จะเพิ่มขึ้น
ทองคำในชาร์ตรายวัน