คู่สกุลเงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐ(EUR/USD)
เหตุการณ์หลักของวันศุกร์นั้นเป็น การนำเสนอข้อมูลจีดีพีของสหรัฐอเมริกาในรอบ ไตรมาสแรกสำหรับการคาดการณ์ครั้งที่สอง โดยตัวบ่งชี้ได้ถูกปรับตัวขึ้นมาจากระดับที่ 2.2% ไปจนถึง 3.2% ระหว่างที่ตัวบ่งชี้ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น นอกจากนั้นมีการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนใน เดือนเมษายนที่ระดับ 97.2 จุด เมื่อเทียบกับ 96.9 ในเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตามเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไป หลังจากที่มีการนำเสนอข้อมูลออกมา ตามการรายงานของสื่อด้านธุรกิจ โดยนักลงทุนหลายคนจับตามองกันไปที่ดัชนีราคาโดยพื้นฐานประจำไตรมาสของ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งเพิ่มขึ้นมา 1.3% เมื่อเทียบกับ 1.8% ในระยะก่อนหน้านี้ พวกเราสงสัยว่า การนำเสนอข้อมูลการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ เนื่องจากดัชนีนี้เป็นปัจจัยในการกำหนดการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ตามความจริงแล้วคือ ดัชนีของค่าใช้จ่ายในการบริโภคส่วนบุคคลต่ออัตราเงินเฟ้อ ถือว่ามีความสำคัญมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค จากการตัดสินใจของเฟดต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน และถึงแม้ว่าทางเฟดได้ทำให้มันชัดเจนแล้วว่า มันจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยใดๆเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยเหตุการณ์นี้สามารถตีความออกมาได้แตกต่างกันออกไป สำหรับข้อมูลจีดีพีของตลาดเองก็ยังไม่ได้มีผลอะไร
ข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลและ รายได้ส่วนบุคคล ของเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม จะนำเสนอออกมาในวันนี้ ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลตัวขึ้นมาถึง 0.4% ในรายได้ส่วนบุคคล หลังจากที่มีการปรับตัวขึ้นมาถึง 0.2% ในเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับการใช้จ่ายส่วนบุคคลของดือนกุมภาพันธ์จะสามารถเพิ่มขึ้นมาถึง 0.7% พวกเราคาดการณ์ว่าจะมีการเคลื่อนตัวของสกุลเงินอื่นๆมา มันอาจเป็นไปได้ว่าเงินยูโรจะปรับตัวลงไปยัง 123.10% ของอันดับที่ 123.6% ตามแนวเส้น Fibonacci ของขอบเขตระยะเวลาประจำวัน
ในชาร์ตะระยะเวลาแบบสี่ชั่วโมงพบว่า ตัวชี้วัดความแกว่ง marlin ของเส้นสัญญาณ เคลื่อนตัวไปยังขอบเขตของพื้นที่การเติบโต มันอาจเป็นไปได้ที่มันจะตามมาด้วยการปรับตัวลง อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาในวันที่ 23 เดือนเมษายน
คำถามเกี่ยวกับนโยบายของทางเฟด โดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในส่วนของอัตราดอกเบี้ย แต่จากการสูญเสียการเป็นอิสระจากทำเนียบขาว (นี้เป็นส่วนสำคัญของการปรับตัว) แต่คำถามมันก็ยังเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่ เนื่องจากในภาพรวมแล้ว แนวทางของการเป็นอิสระจะสามารถไปได้กับแนวทางของการ ตรวจสอบและถ่วงดุลได้หรือไม่ การประชุมของเฟดในวันพุธ อาจจะให้ข้อมูลสำหรับความคิดเหล่านี้ได้ ไม่ว่ามันจะใช้ เหตุผลของการไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นนั้น เป็นความต้องการของประเทศที่จะลดการบริการที่มีหนี้สินในภาครัฐถึง 21,988 ล้านล้าน โดยทางเฟดและกระทรวงการคลังมักจะมาพร้อมกับข้อตกลง