ทองคำกำลังเตรียมตัวที่จะก้าวผ่านรอบปีนี้ด้วยการปรับตัวขึ้นไปมากกว่า 13% ซึ่งจะแสดงถึงการเพิ่มขึ้นสูงสุดประจำปี นับตั้งแต่ปี 2010
ปีที่ผ่านมานั้นจะถูกจดจำโดยนักลงทุนหลายคน จากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทางกรุงวอชิงตัน และปักกิ่งที่ทวีความรุนแรงขึ้นมา, ภัยคุกคามของภาวะถดถอยในอนาคตของสหรัฐอเมริกา และการหวนคืนมาของการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา
ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ตั้งใจที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึงสองครั้งในปี 2019 แต่ในไตรมาสแรกพบว่า ธนาคารกลับทำอีกอย่าง
ทองคำเริ่มตอบสนองต่อสิ่งนี้ในช่วงแรก ด้วยการเติบโตขึ้นมาเพียง 0.76% ในไตรมาสแรก แต่ก็แข็งค่าขึ้นมาถึง 9% ในไตรมาสที่สอง
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยของเฟด ตลอดทั้งปี 2019 นั้นตลาดยังมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไม่เต็มใจต่อพาดหัวข่าว เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่เปลี่ยนจากขั้วหนึ่งไปอีกขั้วหนึ่ง ความไม่แน่นอน และความผันผวนที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลต่อทองคำอีกด้วย
ในส่วนอื่นเอง เส้นกราฟของอัตราผลตอบแทนขอพันธบัตรรัฐบาลได้กลับด้านในเดือนสิงหาคม จึงไปกระตุ้นความกลัวว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดการถดถอย แล้วเศรษฐกิจของเยอรมนีก็ชะลอตัวลงไปอย่างมากเช่นกัน จึงยิ่งดึงดูดความสนใจของแนวโน้ม "golden bugs"
สิ่งที่สามารถคาดหวังได้จากโลหะมีมูลค่าภายในปีหน้าคืออะไร? มันจะสามารถรักษาวิถีของแนวโน้มขึ้นได้หรือไม่?
ปัจจัยการเติบโต
1. แนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish ของเฟด
ในช่วงท้ายของการประชุมในเดือนธันวาคมนั้น ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาได้ชี้แจงอย่างละเอียดแล้วว่า จะมีการหยุดในกระบวนการผ่อนคลายทางนโยบายการเงินในปี 2020 มันจึงทำให้เกิดความกังวลว่า ปีหน้าอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับแนวโน้มขาขึ้นของทองคำ
เฟดไม่ได้วางแผนในอนาคตอันใกล้นี้ ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สำหรับประเด็นนี้ อัตราเงินเฟ้อในประเทศควรจะมีการปรับตัวขึ้นได้แล้วมากกว่า 2% ซึ่งดูเหมือนว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นแล้ว มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะมองว่า โลหะมีมูลค่าจะต้องรอให้มีการกระตุ้นจากทางการก่อนเพราะว่า ยังคงอยู่กับแนวโน้มการกระตุ้นทางเศรษฐกิจเล็กน้อย
2. งบประมาณของเฟด
เฟดยังคงสร้างงบดุลอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงตามการประมาณการ ปริมาณของงบดุลอาจเกินกว่า 4.516 ล้านล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤษภาคม ของปี 2020 แล้วมุ่งหน้าสูง ถ้าหากทางการยังคงเพิ่มยอดดุลต่อไป ตามที่สังเกตในช่วงสามเดือน และครึ้งเดือนที่ผ่านมา
ในช่วงกลางเดือนกันยายน ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาเริ่มซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อสร้างความสงบในตลาด ตั้งแต่ตอนนั้นมาขนาดของสินทรัพย์ในงบดุลเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 330 พันล้านดอลลาร์ และตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 4.10 ล้านล้านดอลลาร์ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านคิดว่า นี่เป็นการผ่อนคลายเชิงปริมาณที่ซ่อนอยู่
จากที่ผ่านมานั้น โปรแกรมการขยายตัวของเฟดก่อนหน้าทุกครั้งได้เพิ่มอุปสงค์ต่อทองคำ เมื่อเฟดใช้งานโครงการดังกล่าวเป็นครั้งแรกในปี 2009 งบดุลของทางธนาคารเหลือน้อยกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และภายในปี 2014 มันจะเติบโตขึ้นมาเป็น 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
ในช่วงเวลานี้ อัตราของโลหะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาจาก 800 ดอลลาร์ ไปเป็น 1,200 ดอลลาร์ ซึ่งสังเกตได้ในเดือนกันยายน ของปี 2011 ซึ่งเป็นระดับสูงใน 1,921ดอลลาร์
3. ภัยคุกคามของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา
คุณ Eddie van der Walt นักวิเคราะห์ของสถาบัน Bloomberg กล่าวไว้ว่า " ปัญหาการผลิต, ตลาดแรงงานใกล้ถึงเวลาเต็ม และการลงทุนเป็นรายงวด ในกราฟอัตราผลตอบแทน ได้ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยาวนานที่สุดในสหรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่าจะใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว"
อ้างอิงจากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้มีการสำรวจจากทางหน่วยงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า โอกาสที่จะเกิดภาวะการถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 30%
คุณ Eddie van der Walt กล่าวเพิ่มเติมไว้ว่า "ตั้งแต่ปี 1960 ดัชนี S&P 500 มุ่งหน้าไปยังระดับสูงสุดก่อนหน้าที่จะเกิดภาวะถดถอย ในค่าเฉลี่ยรอบหกเดือนก่อนที่จะเริ่มการปรับตัวลงของจีดีพี มันหมายความว่าสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างเช่นทองคำ สามารถปรับตัวขึ้นไปได้ แม้คาดว่าจะมีภาวะถดถอย"
เขากล่าวอีกว่า "ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยจริง และอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเลข ที่ลดต้นทุนด้านโอกาสของการเป็นเจ้าของทองคำ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อ ในช่วงปี 1990 ความสัมพันธ์ของโลหะมีค่าในชาร์ตประจำเดือน ที่มีผลตอบแทนของพันธบัตรอายุสองปีของกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ได้อยู่ที่ -0.3 ต้องมีการเพิ่มทองคำในตู้นิรภัย เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเลขติดลบจะส่งผลกระทบต่อทุกคน ตั้งแต่นักลงทุนสถาบันไ ปจนถึงบุคคลผู้ร่ำรวย "
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ "ถ้าหากตลาดเริ่มวางตัวในภาวะถดถอยในสหรัฐอเมริกา งั้นจำเป็นต้องบรรลุให้ถึงระดับ 1,700 - 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ "
4. ธนาคารกลางโลกขาดสิ่งช่วยเหลือ
ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น และธนาคารกลางแห่งยุโรป ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงไปเป็นติดลบ และดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปจนถึงขีดจำกัดแล้ว
ดังนั้น ธนาคารแห่งญี่ปุ่นจึงใช้โปรแกรมแบบ QE ติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดปี แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศยังอยู่ห่างไกลจากเป้าหมายที่ระดับ 2%
ในประเด็นนี้ ความกังวลกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกเกิดการถดถอยเกิดขึ้นครั้งต่อไป ทางการจะไม่มีทางเลือก แต่ต้องยืนดูอย่างไม่มีความหวังว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แน่นอนว่าพวกเขาสามารถลองลดอัตราดอกเบี้ยลงไป ในเขตของมูลค่าติดลบได้มากกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้นักลงทุนหันมาสนใจทองคำมากขึ้น
ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกมีภาพรวมที่คล้ายกัน อัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์จำนวนมากได้ลดลงไปเป็นลบ และสิ่งนี้ก็ส่งผลต่อความต้องการในโลหะมีค่า
อุปสรรคที่มีแนวโน้มเกิดขึ้น
1. การมองโลกในแง่ดีต่อการซื้อขาย
กรุงวอชิงตัน และปักกิ่งเพิ่งจะบรรลุข้อตกลงกันในระยะแรกสำหรับข้อตกลงการค้า
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงพิจารณาว่า ข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันเกี่ยวกับ การยกเลิกภาษีบางส่วน ซึ่งแสดงถึงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาพื้นฐานที่สำคัญได้
อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกาจะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี2020 สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้นาย Trump รวบรัดข้อตกลงอย่างเต็มที่กับประเทศจีน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว หัวหน้าของทำเนียบขาวจะต้องหยุดออกไปในแนวหน้า ซึ่งจะยิ่งช่วยเพิ่มความเสี่ยงให้กับนักลงทุน และเพิ่มความต้องการต่อทองคำภายในปีหน้า
2. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
อ้างอิงจากข้อมูลตัวเลขขององค์กรที่น่าเชื่อถือที่ได้ระบุว่า รัฐของเศรษฐกิจโลกอาจดีขึ้นในปี 2010 ทางสถาบัน IMF และ OECD คาดการณ์ไว้ว่า การเติบโตของจีดีพีทั่วโลกในปีหน้า จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 3.4%
ความหวัง และตลาดยังคงขึ้นอยู่กับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ข้อมูลสถิติของเศรษฐกิจมหภาพที่นำเสนอออกมาในเร็วๆ นี้ สร้างเหตุผลที่สามารถเชื่อได้ว่า การปรับตัวลงของเศรษฐกิจโลกกำลังจะสิ้นสุดลงไป อย่างไรก็ตามมันยังไม่ได้เริ่มต้นที่จะมีโมเมนตัม บางทีอย่างที่เกิดบ่อยครั้ง นักลงทุนมีความกระตือรือร้นมากขึ้น และก็เคลื่อนไหวก่อนล่วงหน้าอีกครั้ง
ดังนั้นแล้ว ในปีหน้าสถานการณ์โดยรวมจะเป็นที่โอนเอียงไปทางทองคำ และการปรับตัวลงของโลหะมีมูลค่า เนื่องจากการเติบโตของการมองโลกในแง่ดีทางการค้า ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในระยะยาว