ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับคู่สกุลเงินหลักอื่นๆและพุ่งตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษในวันพฤหัสบดี โดยมีแนวโน้มว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นและนโยบายที่มีความเข้มงวดขึ้นได้ช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของสกุลเงิน รายงานที่ออกโดยกระทรวงแรงงานระบุว่าอัตราการเติบโตของราคาผู้ผลิตรายปีชะลอตัวลงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายน รายงานแสดงให้เห็นว่าอัตราการเติบโตประจำปีของราคาผู้ผลิตลดลงเหลือ 11% ในเดือนเมษายน จากระดับสูงสุดคามที่บันทึกใน 11.5% ของเดือนมีนาคมแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีการชะลอตัวครั้งใหญ่ถึง 10.7% ราคาผู้ผลิตหลักซึ่งไม่รวมกับราคาอาหาร พลังงาน และบริการการค้าได้เพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งสแสดงถึงการชะลอตัวลงเล็กน้อยจากการเพิ่มขึ้น 7.1% ในเดือนก่อนหน้านี้ รายงานอีกฉบับที่ออกโดยกระทรวงแรงงานแสดงให้เห็นการขอรับผลประโยชน์การว่างงานในครั้งแรกที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอย่างฉับพลันในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 เดือนพฤษภาคม กระทรวงแรงงานกล่าวว่าผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเบื้องต้นเพิ่มขึ้นเป็น 203,000 ราย โดยเพิ่มขึ้น 1,000 รายจากระดับที่ปรับใหม่ในสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 202,000 ราย นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานจะลดลงเหลือ 195,000 รายจาก 200,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์มุ่งหน้าขึ้นสู่ 104.93 ก่อนปรับตัวลงเล็กน้อยและทำกำไรบางส่วนได้ ล่าสุดเห็นอยู่ที่ประมาณ 104.80 โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 0.9% จากการปิดครั้งก่อนหน้านี้ ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นที่ 1.0379 ดอลลาร์เมื่อเทียบกับยูโรจาก 1.0515 ดอลลาร์ ค่าเงินดอลลาร์ซื้อขายที่ 1.2197 ดอลลาร์เมื่อเทียบกับปอนด์สเตอร์ลิง โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.2251 ดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 128.34 เยนต่อเงินเยน เมื่อเทียบกับ 129.98 เยนในวันพุธ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ออสเตรเลียที่ 0.6859 โดยแข็งค่าขึ้นจาก 0.6938 เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินฟรังก์สวิสมากกว่าถึง 1% โดยซื้อขายที่ CHF 0.9961 เงินดอลลาร์แคนาดาอ่อนค่าลงเหลือ 1.3044 ต่อดอลลาร์ โดยขยับตัวจาก 1.2994 ที่ได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัว